
1.
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากหลายคนจะรู้สึกชอบทะเล แม้จะเป็นฤดูฝน และในวันแดดแรงดังเช่นวันนี้ แค่ได้นึกถึงท้องฟ้าตัดตัดกับทะเลสีคราม ก็ทำให้รู้สึกคลายร้อนได้บ้าง ทั้งกายและใจ
แม้ข้างนอกแดดจะแผดเผาเพียงใด แต่ภายในรถเช่าที่ชีวากำลังขับอยู่นั้นกลับเย็นเฉียบด้วยลมจากเครื่องปรับอากาศ เขามองร่างที่เบาะข้างๆ ที่คงกำลังหลับอย่างเป็นสุข น้ำตาก็รื้นขึ้นมา ความเงียบในรถวันนี้ช่างต่างกับเหตุการณ์ในบ้านเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
“ไหนคุณบอกจะรีบกลับมา” ภรรยาของเขาเอ่ยขึ้นขณะนั่งถักผ้าพันคออยู่ที่โต๊ะรับแขก ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เค้กก้อนเล็กๆ ที่มีเทียนปักอยู่ แต่เทียนนั้นคงจะถูกจุดไว้นานแล้วจึงดูสั้นกุดจนเกือบติดหน้าเค้ก
ชีวามองไปยังนาฬิกาแขวนเหนือชั้นวางที่มีภาพของทั้งสองกับลูกแขวนอยู่ข้างกัน ก็พบว่าขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนครึ่งแล้ว
“ผมขอโทษนะ ผมพยายามแล้วแต่ปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ…” เขาพยายามทำน้ำเสียงให้ไม่ฟังดูเป็นการแก้ตัวขณะเดินผ่านภรรยาเข้าไปยังครัว
“ผมบอกคุณแล้วว่าช่วงนี้เรากำลังจะปิดโปรเจ็ค” ชีวาต่อให้จบ แล้วเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม
“แต่คุณสัญญาไว้แล้ว” ภรรยาของเขาตะโกนตามหลังมา
“ผมรู้ แต่งานผมเยอะ แล้วจะให้ทำยังไง” เขาถามกลับไป อย่างไม่ค่อยพอใจกับน้ำเสียงของเธอ
“คุณไม่ต้องเอางานมาอ้าง ทุกครั้งคุณก็แก้ตัวแบบนี้” ภรรยาของเขาเอ่ยคำที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดออกมา
คำว่าแก้ตัว คำนี้เหมือนตั้งใจจะโยนความผิดมายังเขา
“ผมก็แค่ลูกจ้าคนหนึ่ง งานผมมันไม่ได้สบายเหมือนคุณนี่ ที่นึกอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้”
“คุณอย่ามาพูดแบบนี้นะ ฉันก็ทำงานเหนื่อยพอๆ กับคุณนั่นแหละ ฉันก็มีวันกลับดึกเหมือนคุณ แต่ไม่ใช่วันที่สัญญากันไว้แบบนี้”
ชีวารู้ดีว่าหากเริ่มทะเลาะย่อมหาทางจบไม่ได้ง่ายๆ เขาเหนื่อย แต่ก็ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองผิด เพราะหากเขายอมก็คงเหมือนทุกครั้ง เขากลับดึกเขาโดนว่า เธอกลับดึกเป็นเพราะงาน ฟังดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“วันกลับดึกของคุณ มันจะมีอะไรมากไปกว่าการออกไปทานข้าวกับคนอื่น” ชีวาเริ่มขึ้นเสียงบ้าง
“คนอื่นงั้นเหรอ เขาเป็นลูกค้านะคะ คุณแยกแยะบ้างซี”
“อ้อเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่คนอื่นแล้วซินะ ถึงว่าออกไปกันแทบทุกอาทิตย์ ถามหน่อยเถอะว่าทานข้าวเสร็จแล้วไปต่อไหนกันบ้าง” เขาพยามยามเน้นเสียงที่บอกว่าเหลือทนกับเรื่องนี้เหลือเกิน
ภรรยาของเขาผุดลุกขึ้น
“คุณจะเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม” เธอเอ่ยถามเสียงสั่น
…เขาโกรธ
นี่คือคำตอบในใจของชีวา เพียงแต่เมื่อวานเขาไม่ได้พูดออกไป ขณะที่เขาเลี้ยวเข้าไปยังร้านขายของชำเขาก็คิดว่า สิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้คงทำให้เธอหายโกรธได้
บางครั้งเขาก็แปลกใจเหมือนกัน ทั้งที่ตัวเขาเองเป็นคนเงียบๆ แม้ในเวลางานก็ไม่ค่อยพูดจานัก แต่ทำไมกันเวลาที่เขามีเรื่องที่ไม่เข้าใจกับภรรยา เขาจึงรู้สึกอยากจะขุดเรื่องต่างๆ เพื่อหาทางทะเลาะกับเธอทุกครั้ง
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” เด็กสาวหลังโต๊ะแคชเชียร์เอ่ยทักทันทีที่ชีวาผลักประตูเข้าไปในร้าน เขายิ้มให้ ก่อนตรงไปยังตู้แช่ หยิบนมกล่อง น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มชูกำลัง แล้วเดินไปชำระเงิน
“วันนี้แดดดีนะครับ” เขาเอ่ยทัก
“เที่ยวทะเลเหรอคะ” เด็กสาวถาม ซึ่งชีวารู้สึกว่าไม่เห็นว่าจะต้องถามเลย ในเมื่อเขาใส่ชุดสบายๆ แถมยังเช่ารถออกมา และร้านนี้ก็เป็นร้านเดียวก่อนถึงหาด ก็คงไม่มีเหตุผลอื่น
“คนเยอะหรือเปล่าครับวันนี้” เขาถามเธอขณะที่เธอง่วนกับการคิดเงิน
“ช่วงนี้หน้าฝนนะคะ วันหยุดเสาร์ อาทิตย์คนยังแทบจะไม่มี วันนี้วันพฤหัสที่นี่คงเงียบเหมือนหาดส่วนตัวนั่นแหละค่ะ” เด็กสาวเอ่ยออกมา ก่อนจะจบบทสนทนา
“หกสิบบาทค่ะ”
“ขอถุงใส่ขยะด้วยนะครับ” ชีวาบอกกับเธอขณะจ่ายด้วยธนบัตรใบละหนึ่งร้อย
แล้วเธอก็ยื่นให้เขาพร้อมเงินทอน
ที่ๆ เขากำลังจะไปเป็นชายทะเลที่มีหาดเล็กๆ อันเงียบสงบ เป็นที่ๆ เขาพาภรรยามาฉลองวันครบรอบแต่งานเมื่อหน้าร้อนปีที่แล้ว และทั้งสองตกลงกันว่าจะกลับมาฉลองที่นี่ทุกๆ ปี
เขาขับรถเลี้ยวเข้าไปยังแยกเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลงหาด และมองตรงไปยังที่นั่น ที่ยังสวยงามไม่เคยเปลี่ยน จะแตกต่างอยู่บ้างก็ตรงที่หญ้าขึ้นรกกว่าเดิม แต่ความทรงจำของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนพึ่งจากไปเมื่อวาน
เขาถอยรถเข้าจอด ดับเครื่องยนต์ ก่อนออกจากรถเขาเอนตัวไปยังเบาะข้างๆ แล้วกระซิบเบาๆ
“พ่อ… ขอโทษนะ”
คำนี้ เป็นเขาใช้เอ่ยกับภรรยาเมื่อยามที่ทั้งคู่อารมณ์ดี
“เราน่าจะเรียกกันแบบนี้นะคะ” ภรรยาบอกกับเขาเมื่อสมัยที่ยังไม่มีลูก ขณะที่ทั้งสองนั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน
“แบบไหนเหรอ” ชีวาถามออกไป
“ฉันจะเรียกคุณว่าพ่อ คุณก็เรียกฉันว่าแม่…” เธอยิ้มขณะตักกับข้าวที่ทั้งสองช่วยกันทำแล้ววางลงในจานของผู้เป็นสามี
“เวลาที่เรามีลูก เขาก็จะได้เรียกเราแบบที่เราสองคนเรียกกันไง” เธอให้เหตุผล
“ครับคุณแม่” ชีวาเอ่ยขึ้น แล้วทั้งสองก็หัวเราะไปด้วยกัน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เมื่อทั้งคู่มีลูก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ค่าเล่าเรียน ค่าบ้าน ค่ารถ ทุกอย่างเหมือนเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้ทั้งคู่แทบจะไม่มีเวลาได้คุยกันแบบสนุกสนานเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อคุยกันก็มักจะหนีไม่พ้นเหตุการณ์ดังเช่นเมื่อคืน โชคดีที่ลูกชายของทั้งสองคงหลับอยู่
ชีวาไม่อาจลืมเหตุการณ์เมื่อคืนไปได้…
“คุณจะเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม” ภรรยาของเขาเอ่ยถามอย่างน้อยใจ ทำไมเขาถึงชอบนำเรื่องที่เธอต้องไปพบลูกค้ามาเป็นชนวนทะเลาะกันอยู่เรื่อย เหมือนกับเขากำลังดูถูกเธอ และมองเธอไม่มีค่า
“คุณมันเห็นแก่ตัว” เธอบอกออกไปทั้งน้ำตา ก่อนจะหันหลังให้เขา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ คุณจะไปไหน” ชีวาเริ่มไม่พอใจ ทุกครั้งซินะที่ทะเลาะ เธอก็หนีอย่างนี้ทุกครั้ง ใครกันแน่ที่มีความผิด ใครกันแน่ที่ไม่จริงใจ หลายครั้งหลายคราที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในบ้าน หลายครั้งที่เขาอยากให้เรื่องนี้จะยุติลงเสียที
“ไปไหนมันก็เรื่องของฉัน” และก็คำนี้อีกแล้วที่เธอใช้ทิ้งท้าย ก่อนที่จะทิ้งเขาไว้บ้านตามลำพังอย่างเดียวดายจนเช้า ชีวารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยมือข้างเดิมๆ เขาควรจะชินชากับการเดินจากไปของภรรยา และปล่อยให้ทุกอย่างเย็นลงด้วยตัวของมันเอง อย่างนั้นหรือ
แต่ไม่ใช่วันนี้แน่ วันนี้ทุกอย่างควรจะเปลี่ยน
จากในครัวเขาเดินไปหยิบมีด น้ำหนักและความคมของมันคงเฉือนได้ทุกอย่าง เขารีบตรงไปยังภรรยา
“ผมไม่ให้คุณไปไหนทั้งนั้น” ชีวาตะโกนก่อนจะเงื้อมือขึ้น มีดเล่มนั้นสะท้อนแสงไฟดูแวววาวน่ากลัว
ฉับ!
เขาปักพลั่วลงไปบนพื้นทราย น้ำตาไหลอาบแก้ม ขณะที่มองกลับไปยังรถเช่าที่จอดอยู่ ร่างนั่นไม่ขยับเขยื้อนตั้งแต่ที่เขาพาออกมาจากบ้านในตอนเช้า จริงๆ คงต้องบอกว่าร่างนั้นแน่นิ่งมาตั้งแต่เมื่อวาน เขาหวังว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้คงแทนคำขอโทษได้ เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่ตักทรายขึ้นมา เจ็บปวดทุกครั้งเห็นหลุมนั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้ และเขาเช็ดน้ำตาไปจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่มันก็ยังคงไม่หยุดไหล หลุมนี้คงเป็นที่พักพิงที่สุดท้าย และคงเป็นที่ๆ เขามาเยี่ยมได้เสมอ ที่ๆ เขาและภรรยารักและหวงแหน จากนั้นเขาเดินตรงไปยังรถ พลางเหลียวมองไปรอบบริเวณ ที่นี่ยังเงียบเช่นเดิม
ชีวาอุ้มร่างอันบอบบางไว้ในอ้อมแขน แล้วนำไปวางลงในหลุมอย่างแผ่วเบา เขาหยิบรูปภาพที่เขาและภรรยาถ่ายคู่กันตรงหน้าบ้านแล้ววางลงไป เขาเสียใจและทำใจได้ยากเหลือเกิน มือของเขาสั่นเทาขณะที่ตักทรายเทกลับลงไปในหลุมเพื่อกลบร่างนั้นไว้
ฟ้าร้องครืนมาแต่ไกล เขาจึงต้องเร่งมือ จนทุกอย่างเรียบร้อยในเวลาไม่นาน เขามองดูผลงานและยิ้มทั้งน้ำตา
พ่อขอโทษนะ…
พ่อขอโทษ…
เขาพึมพำอย่างนั้นเหมือนคนบ้า ขณะเดินกลับไปยังรถ เขาไม่หันหลังไปมองหาดนั้นอีกเลย เขาเศร้าใจกับสิ่งที่ลงไป แต่เขาจะทำอย่างไรได้นอกจากกระดกเหล้าที่เตรียมมาเพื่อให้ลืมเรื่องดังกล่าว
ความรู้สึกสูญเสียนั้นทำให้เขาลำบากใจขณะที่ขับรถกลับมาบ้าน เขารู้สึกคิดถึงภรรยาผู้เป็นที่รัก จนเหมือนบางครั้งเขาเห็นภาพภรรยาขับรถสวนทางเขาไป น้ำตาที่เอ่อล้น และแทบจะไม่หยุดไหลทำให้การรับรู้ของเขาบิดเบี้ยว
ภาพแห่งความทุกข์ทรมานวิ่งผ่านเขาไปอย่างเชื่องช้า อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอร์ฮอล เขาอยากจะลืมเหตุการณ์เมื่อคืนแต่มันช่างทำใจได้ยากนัก จนกระทั่งเขามาถึงบ้านภาพเหล่านั้นจึงได้หยุดลง แต่เขากลับเผชิญความจริงที่ว่า เขาต้องอยู่อย่างเดียวดายในคืนนี้ แม้ขณะที่เขาเปิดประตูเข้าบ้าน ทำไมความเงียบจึงต่างจากเมื่อวานนัก แล้วเขาควรจะรู้สึกอย่างไร
ความอ่อนล้า ความเสียใจ และฤทธิ์เหล้าทำให้เขาหลับไปในที่สุดท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมา…
2.
ชีวาตื่นเช้า เขาขับรถของเขาออกไปทำงาน เป็นเช้าของฤดูฝนที่แดดดีอีกหนึ่งวัน ความสดใสของยายามเช้าทำให้คลายความทุกข์ใจจากเรื่องเมื่อวานไปได้บ้าง แต่ขับรถมาราวๆ หนึ่งชั่วโมงเขาก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต รถคันสีดำที่มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ด้านหน้า เหมือนตามเขามาตั้งแต่ออกจากบ้าน เขาลองเร่งความเร็วขึ้นเพื่อทิ้งห่าง แต่เหมือนพวกนั้นพยายามรักษาระยะเพื่อไม่ให้เขาคลาดสายตา ชีวาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหักเลี้ยวไปอีกทางและเร่งความเร็วขึ้น พวกนั้นเป็นใครไปไม่ได้ เพราะเมื่อเขาเร่งความเร็วหนี เขาได้ยินเสียงไซเรนจากรถคันนั้นหวีดไล่หลังตามมาอย่างรวดเร็ว
‘ตำรวจพวกนั้นมันรู้เรื่องแน่แล้ว’ ชีวาเริ่มคิดหาทางหนี เขาคงอยู่บนถนนได้อีกไม่นานแน่ แต่จะทางไหนละ
สะพาน! อีกไม่กี่ร้อยเมตรข้างหน้ามีสะพาน พ้นสะพานนั้นไปเขารู้ดีว่ามีอาจพอมีที่ซ่อนตัว อย่างไรก็ต้องเร่งไปให้ทัน เขามองผ่านกระจกมองหลัง นั่นทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
ปัง! ปัง! เสียงดังขึ้นสองครั้งจนเขาต้องหมอบลงกับพวงมาลัย
เสียงแรกคือเสียงระเบิดกระสุนจากรถตำรวจ เสียงที่สองคือเสียงระเบิดจากยางรถของเขา
รถของเขาทะยานขึ้นสะพานอย่างรวดเร็ว แต่รถของเขาเสียการควบคุมไปแล้ว ไม่กี่วินาทีถัดมามันก็ปะทะเข้ากับราวสะพาน รถยนต์ลอยละลิ่ว มือของชีวาที่เคยปัดป่ายอยู่ที่พวงมาลัยรถยนต์ กลับต้องรีบยกขึ้นปิดหน้า เพราะพื้นน้ำเบื้องล่างกำลังจะกลืนกินรถของเขา – ตูม!
เสียงเปรี้ยงชำแรกเขาโสตประสาท ชีวาสะดุ้งเฮือกตะกายหาอากาศอากาศหายใจ ร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เสียงครืนของฟ้าฝนที่คะนองอยู่นอกบ้าน ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับเสียงกริ่งโทรศัพท์ที่ทำให้เขาต้องสะดุ้งอีกครั้ง
เสียงกริ่งยาวถี่ๆ หมือนมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน นั่นทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
‘ตำรวจรึเปล่า’ ชีวาไม่แน่ใจ แต่ใครกันโทรมาดึกดื่นขนาดนี้ หรือมีคนรู้เรื่องนี้เขาแล้ว หัวใจของเขาเต้นระรัวทั้งจากเหตุการณ์ในฝัน และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อเนื่องปนกับเสียงฝน เขาตัดสินใจรับสาย
“…” เขาไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแต่เงียบฟัง
เสียงที่เขาได้ยิน ทำให้หัวใจที่รัวกระหน่ำของเขาแทบหยุดเต้น
เสียงคลื่นที่กำลังสาดซัด…
และเสียงสะอื้นของผู้หญิง…
เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เขาเมาหรือฝันอยู่กันแน่ แม้ในขณะที่เธอคนนั้นเอ่ยออกมา
“ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้…” ภรรยาของเขาครวญ
“ทำไมคุณทำกับฉันอย่างนี้อย่างนี้…” เธอพูดซ้ำคำเดิม ด้วยความเสียใจ ความโศกเศร้าคงหนักเกินกว่าเธอจะพูดคำอื่นใดอีก สายของเธอจึงถูกตัดไป
ชีวารู้แล้วว่าเป็นเธอ เขาไม่ได้ฝันไป ภรรยาของเขาอยู่ที่นั่น และคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แต่… เธอรู้ได้อย่างไร
แล้วภาพเมื่อวานที่เขาทะเลาะกับเธอย้อนกลับมาอีกครั้ง
ภาพที่เขาเดินถือมีดออกมาจากครัว ขณะที่บอกเธอว่าไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น ก่อนที่เขาจะใช้มีดฟันฉับ! ลงบนเค้ก ที่เธอคงซื้อมาไว้ให้เขา แต่เขาก็รั้งเธอไว้ไม่ทัน เธอกระแทกประตูปิดแล้วจากเขาไป นั่นทำให้เขาเสียศูนย์ เขาเกลียดการอยู่คนเดียว พอๆ กับการที่อยู่โดยไม่มีเธอ แต่ทุกครั้งที่เธอทำอย่างนี้ เธอคิดบ้างหรือเปล่า ว่าลูกจะอยู่อย่างไร จริงอยู่…ที่คืนนี้ดึกมากแล้ว ลูกคงหลับอยู่และไม่อาจตื่นมารับรู้อะไรได้ แต่มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนี้ เธอควรเห็นใจลูกของเธอบ้าง นั่นคือสิ่งที่วนเวียนในหัวของชีวาขณะมองไปยังก้อนเค้กแหว่งๆ
เรื่องจริงอย่างหนึ่งคือภรรยาของเขาอยากมีลูก แต่ชีวาไม่สามารถมีลูกได้ และภรรยาของเขาก็รู้ดี เขาไม่แน่ใจนักว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไรทั้งที่เขาสุขภาพดี หรือลึกๆ แล้วชีวารู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน เขาไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตของใครเลยหรือเปล่า แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะไม่รู้ หรือไม่เขาก็คงจะคิดมากเกินไปในวันที่ภรรยาปรึกษาเขาเรื่องนี้ ภรรยาอ้อนวอนให้เขาพบแพทย์เพื่อบำบัด เพราะเธอคิดว่าอาจเกิดความผิดปกติเพราะความเครียดของสามี
แต่ชีวาปฏิเสธคำขอนี้ เขาหันไปทำงานให้หนักขึ้น เลิกงานดึกขึ้น แต่ก็น่าแปลกใจเหลือเกินที่ต่อมาภรรยาเขาก็ท้อง เธอดีใจเหลือเกินกับการมีลูกคนแรก
และชีวาก็ต้องเสียน้ำตาในวันที่หมอบอกเขาเรื่องนี้…
แล้วทำไมกันทุกครั้งที่ทะเลาะ เธอจึงเดินจากไปเหมือนไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้น เธอทิ้งสิ่งที่เธอควรจะรับผิดชอบ หากลูกถามหาเธอกลางดึก แล้วเขาจะตอบอย่างไร
เขาจึงโทรศัพท์หาเธอ..
“คุณทำแบบนี้ คุณเห็นแก่ลูกบ้างหรือเปล่า”
ภรรยาเขาโต้กลับทันที
“คุณอย่าเอาเรื่องนี้มาอ้าง ถ้าคุณไม่เคยคิดว่าเขาเป็นลูก คุณก็ไม่ต้องยุ่ง” แล้วเธอก็ตัดสาย
ใช่เขาเองที่ไม่เคยคิดว่ามันเป็นลูก ชีวาพยายามเก็บความทุกข์และกดความเศร้าไว้ภายในอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เก็บกดไว้ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ในมือของเขายังคงมีมีด และมืออีกข้างถือเค้กที่โดนกัดไปครึ่งหนึ่ง เขาเดินช้าๆ ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านตรงไปยังห้องนอนของลูกชาย เขาค่อยๆ ผลักประตูให้เปิดออก ภาพอันน่ารักของลูกชายอยู่ตรงนั้น น้ำตาของเขาก็เริ่มไหล
แต่คืนนี้ไม่มีภาพนั้นแล้ว นอกบ้านพายุยังโหมกระหน่ำ ชีวาผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของลูกชายหลังจากภรรยาวางสายไป เขารู้ทันทีว่าเธอโทรมาจากหาดนั่นแน่ๆ ในห้องของลูกชายนั้นมีแค่เพียงความว่างเปล่า เขาทำลงไปแล้วจริงๆ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเกินกว่าที่จะเขาคิดไตร่ตรองได้ทัน
เขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่า แล้วภรรยาของเขาละ เธอรู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน เขาเริ่มกระวนกระวายทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่เพราะฤทธิ์เหล้า ที่ทำให้เขาเห็นภาพเธอสวนทางไปเมื่อวาน
เขารีบวิ่งลงชั้นล่าง คว้าเอาพลั่วที่เขาล้างเศษทรายออกไปเมื่อช่วงค่ำ แล้วรีบขับรถเช่าคันนั้นฝ่าสายฝนออกจากบ้านทันที เขาทำผิดกฎจราจรไม่รู้กี่ครั้ง ตั้งแต่ขับรถเร็วเกินกำหนด จนถึงฝ่าไฟแดง แต่ตอนนี้จวนจะสว่างเต็มที เขารู้เพียงว่าต้องไปให้เร็วกว่านี้ เมื่อถึงทางแยกเล็กๆ ที่ลงไปยังหาดนั้นฝนก็หยุดตก เขาไม่รอช้าหักเลี้ยวเข้าไปจอดข้างรถยนต์คันที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี และผู้หญิงที่เขาคุ้นหน้าก็ยืนอยู่ที่นั่น หลุม ที่เขาถมไว้ ตอนนี้กลับถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง ร่างอัน
เปียกปอนของเธอที่คงขุดหลุมนี้ท่ามกลางสายฝน เปื้อนเปรอะด้วยดินทราย ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
ชีวาดับเครื่องยนต์ และถือพลั่วนั้นเดินลงไป แต่เขาต้องชะงักเมื่อพบว่าเธอดึงร่างนั้นขึ้นมาจากหลุมเรียบร้อยแล้ว
“ที่ผมทำไปผม เพราะไม่อยากให้คุณลำบาก” ชีวาตะโกนบอกเธอ
เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา เธอเดินเข้ามาหาเขา เหมือนอยากจะได้ยินให้ชัดๆ
ชีวากำพลั่วในมือไว้แน่น กระทั่งเธอมาอยู่ในระยะที่ไม่ไกลเขานัก
เขายกพลั่วนั้นขึ้นแล้วเหวี่ยงทิ้งออกไป… ก่อนที่ทั้งสองจะโผเข้ากอดกัน
“คุณน่าจะบอกฉันบ้าง” ภรรยาของเขาเอ่ยขึ้น
“โธ่! ที่รักผมไม่อยากให้คุณลำบาก มันไกลเหมือนกันนะที่ต้องเอาเขามาฝังถึงที่นี่”
“แต่คุณไม่เห็นเหรอว่าฉันถักผ้าพันคออยู่เมื่อวาน”
“เห็นซี” แล้วทันใดเขาก็มองเห็นผ้าพันคอห่อรอบร่างนั้นอยู่
“คุณเห็นแต่คุณไม่ใส่ใจ เพราะคุณไม่เคยเห็นเขาเป็นลูก” ภรรยาเอ่ยอย่างน้อยใจและชีวาก็ทำได้แค่เงียบ
“ฉันยังจำวันแรกที่เราไปหาหมอได้…” ภรรยาเขาต่อ
“วันที่หมอบอกคุณ ว่าดีใจด้วยภรรยาคุณท้องแล้ว คุณจำได้ไหม”
“ผมจำได้ซี วันนั้นผมดีใจจนพูดไม่ออก”
“ใช่และคุณร้องให้ยังกะเด็ก”
“ผมดีใจมากจริงๆ” ชีวายังจำวันนั้นได้ดี
“ฉันก็แค่อยากให้คุณดีใจอย่างนั้นอีก”
ชีวาเข้าใจดีว่าภรรยาคงเหงาตั้งแต่ทั้งคู่ตัดสินใจส่งลูกชายเข้าโรงเรียนประจำ เธอจึงหาสุนัขมาเลี้ยง แต่จะให้มองเหมือนลูก สำหรับเขามันเป็นเรื่องแปลกๆ ในเมื่อมีลูกชายอยู่แล้วทั้งคน
“ผมเดินไปดูห้องลูกก่อนออกมา…” ชีวาบอกไป
“อ๋อ.. ฉันเอารูปลูกออกมาเอง กลัวเจ้าบ๊อบบี้มันจะเหงานะคะ คุณเอาแค่รูปเราสองคนไว้ให้เค้า”
“ผมลืมไป ผมขอโทษด้วย” แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันฝังเจ้าบ๊อบบี้สุนัขแสนรักของภรรยา พร้อมๆ กับที่แสงสีทองสว่างขึ้นยังสุดปลายขอบฟ้าที่บรรจบกับทะเล
“วันเสาร์นี้เราไปเยี่ยมลูกที่โรงเรียนกันนะ” ชีวาเสนอ
ภรรยาของเขายิ้ม
“งั้นวันนี้ฉันลางานดีกว่า จะได้เตรียมตัวเผื่อพาลูกเที่ยววันหยุดด้วย”
“ผมอาจจะเข้างานสายหน่อย ขออยู่ชดใช้เรื่องเมื่อวานก็แล้วกัน” และภรรยาของเขาก็ยิ้ม แต่ชีวาสังเกตเห็นว่าเป็นยิ้มที่กว้างกว่าเดิม
“แต่ผมถามหน่อยเถอะ คืนนั้นคุณไปไหน”
“คุณก็รู้นี่ ฉันก็ไปค้างบ้านแม่เหมือนทุกครั้งนั่นแหละ ฉันต้องใช้สมาธิถักผ้าพันคอให้เสร็จนี่”
“บอกผมให้ไปส่งก็ได้…”
“บ้าหรือป่าว เราทะเลาะกันอยู่นะอีกอย่างฉันก็ขับรถเองได้” เธอพูดยิ้มๆ ก่อนพูดต่อ
“ฉันเสียใจจริงๆ นะคะที่เสียบ๊อบบี้ไป ฉันคงคิดถึงเสียงเห่าของมัน”
“สัตว์เลี้ยงมันก็อายุสั้นแบบนี้แหละ อย่าเสียใจไปเลย” ชีวาปลอบ
“และขอบคุณนะ.. สำหรับเค้ก” เขาเอ่ยขึ้น ภรรยาของเขารู้ใจเขาเสมอ โดยเฉพาะเวลาที่เขาเหนื่อยจากการทำงาน เขาจะชอบทานของหวาน
“ฉันเป็นเมียคุณนะคะ… มีเรื่องอะไรที่ฉันจะไม่รู้”
+ + +
บ่ายโมง…
ชีวาขับรถมาถึงที่ทำงาน เป็นบ่ายของฤดูฝนที่ดูสดใส
“อะไรกันพี่ เมื่อวานก็ลา วันนี้ก็มายันบ่าย” รุ่นน้องที่สนิทกันในแผนกเอ่ยขึ้น
“ถูกเจ๊ ใช้งานหนักรึไง” ชีวายังคงโดนเย้าไม่หยุด
“นอนหลับสบายเลยละซิคราวนี้ เอากาแฟหน่อยไหมครับ”
“ขอบใจ” ชีวาตอบเรื่องที่เหมือนรู้กันแค่สองคน ขณะจัดการกับเอกสารกองโต
“ผมบอกพี่แล้ว ว่ายาเบื่อหนูนะ ไม่ได้ใช้กับหนูอย่างเดียว”
– – – – – จบ – – – – –
featured image by Lisa Fotios from Pexels