สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
อ่านหนังสือของ แฮร์มันน์ เฮสเซอ (Hermann Hesse)
นวนิยายของนักเขียนรางวัลโนเบลชาวเยอรมัน จบในวันเดียว
ช่วงนี้ผมมีปัญหากับตัวเองนิดหน่อยคือ อ่านหนังสือไม่ค่อยจบเล่ม
จำได้ว่าเมื่อสามเดือนก่อนซื้อหนังสือของ เรเชล จอยซ์
ตั้งใจอ่านมากๆ วันละหนึ่งบททุกวัน
แต่อยู่ๆ ลมก็พัดบทเพลงเพราะๆ สองสามเพลงเข้ามาในชีวิต
มันก็เลยอินกับเพลงเสียจนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
มองสังคมรอบข้่าง คลอเคล้ากับเสียงเพลง
มันสวยงามอย่างบอกไม่ถูก
ไม่กี่สัปดาห์ถัดมา เริ่มระบายความรู้สึกลงในกระดาษ
ออกมาเป็นภาพวาดต่างๆ นาๆ
สลับกับร้องเพลง เล่นดนตรี
ชีวิตมันช่างเพลิดเพลินเหลือเกิน
แต่แล้วความเซ็งก็บังเกิด
ไม่รู้มีใครเคยเป็นแบบนี้หรือเปล่า?
ความสุขมันอยู่มากมายรายรอบตัว
มากมายจนวันหนึ่งๆ เราเสพได้ไม่หมด
มากมายกระทั่งเราไม่รู้ว่าจะหยิบฉวยอะไรมาเป็นสาระในชีวิต
ผมจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ มองสิ่งรอบตัวเคลื่อนผ่านไป
หวนให้นึกถึงเมื่อสามปีที่แล้ว
เย็นวันหนึ่งขณะที่นั่งมองธรรมชาติที่ Chinese Garden ในสิงคโปร์
จำได้ว่านั่งอยู่ตรงนั้นหลังเลิกงานทุกวัน
มองธรรมชาติอย่างเฉยๆ เกือบสามชั่วโมงต่อวัน ตลอดสัปดาห์
มีความสุขจากภายใน..
มันเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย
เช่นเดียวกับความรู้สึกอันเกิดจากความรัก
ที่เราไม่อาจอะธิบายออกมาเป็นตัวอักษรหรือคำพูด
ทำได้เพียงแค่ …รู้สึก… เท่านั้น
แต่ขณะนี้.. ขณะที่ผมอยู่นิ่งๆ มองสิ่งรอบตัวเคลื่อนผ่านไป
มันช่างต่างกับเมื่อสามปีที่แล้วเหลือเกิน
หากความสงบสุขที่ผมเอ่ยถึงเมื่อ 7 บรรทัดที่แล้ว
เปรียบเหมือนกองไฟที่ให้ความอบอุ่นในหน้าหนาว
ความสงบที่ผมเจอในวันนี้คงเปรียบได้แค่เปลวไม้ขีดไฟกลางพายุ
ที่สว่างมาแค่แว่บเดียว แล้วมอดดับไป
แม้จะอยู่ลำพังคนเดียว กลับไม่พบความสุขจากข้างในเช่นเมื่อก่อน
ผมพยายามมองหา.. อีกครั้ง
ไม่มีใครหรอกจะพบความสุขโดยไม่แสวงหา
ไม่นานนักผมก็เจอ เขาคนนั้น
อยู่ในซอกเล็กๆ บนชั้นวางของร้านหนังสือ
เขาชื่อ สิทธารถะ
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ที่จะมาช่วยให้ผมบรรลุถึงที่สุดในบัดดล
ที่จะมาช่วยให้ผมบรรลุถึงที่สุดในบัดดล
แต่เขาเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งในนิยาย ที่ออกแสวงหาทางพ้นทุกข์
หนึ่งวันเต็มๆ ที่ผมออกเดินทางไปด้วยกันกับเขา
ทำให้ผมพบเจอกับอะไรหลายๆ อย่าง
หนึ่งในนั้นคือความเป็นไปในชีวิต
มันมีขึ้นมีลง มีใสมีขุ่น ดุจน้ำในแม่น้ำ
แต่แม่น้ำทุกสายล้วนไหลลงทางต่ำ
ก่อนจะระเหยกลายเป็นไอ แล้วเวียนวนกลับมาใหม่เป็นวัฏจักร
วัฏจักรชีวิตที่ไม่เคยสิ้นสุด ไม่เคยเหนื่อยหน่าย
ดึงดูดเราไว้เหมือนแรงโน้มถ่วงของโลก
สุขทุกข์ล้วนเกิดดับในโลกใบนี้
ทั้งเสียงหัวเราะและร้องให้ ปนเปกันจนแยกไม่ออก
ทั้งเสียงหัวเราะและร้องให้ ปนเปกันจนแยกไม่ออก
สิทธารถะ เขาเก่งในเรื่องการคิด
และความคิดก็พัดพาเขาไปทุกที่ ที่เขาคิดว่าคือการแสวงหา ปลายทางแห่งสุข
ผมจำได้ชัดเจนอีกครั้ง
ว่าเมื่อก่อนความสุขจากข้างในที่ผมโหยหาในวันนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
มันเกิดขึ้นจากความรู้สึก
หากความคิดเปรียบดังควันที่เกิดจากไฟ
ความรู้สึกตัวแต่ละครั้งก็คือ น้ำ ที่ดับทั้งไฟและควันไปพร้อมๆ กัน
และความรู้สึกตัวแต่ละครั้ง
ก็คงจะเหมือน สิทธารถะ ในหนังสือ
ที่สุดท้ายเขากลายมาเป็นคนแจวเรือข้ามฟาก
ความรู้สึกตัวแต่ละครั้ง คือการจ้ำพายในแต่หน
ทวนกระแสของความคิด ที่จะพัดพาเราไปสู่ที่ต่างๆ
ชีวิตของเราลอยล่องอยู่กลางแม่น้ำอันเชี่ยวกราด
เราทุกคนต่างรู้ดีว่าสักวันมันจะพัดพาเราไปสู่ความตายอันไร้ค่า
ทำไมเราจึงไม่ออกแรงพาย ทวนกระแสของมันสักหน่อย
มันยาก..
แต่เราจะไม่อยากรู้เลยเหรอว่าอีกฟากของแม่น้ำนั้น
มันจะเป็นอย่างไร
เมื่อเราไปถึง แล้วมองย้อนกลับมา
เราอาจมองแม่น้ำนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ปล. เป้าหมายต่อไปจะอ่านงานของเฮสเซอ อีกสักเล่มสองเล่ม
เขาว่ากันว่า “นาร์ซิสซัส กับโกลด์มุนด์” (Narcissus and Goldmund)
และ “เกมลูกแก้ว” (The Glass Bead Game) ก็มีอะไรน่าสนใจในนั้นเหมือนกัน
และ “เกมลูกแก้ว” (The Glass Bead Game) ก็มีอะไรน่าสนใจในนั้นเหมือนกัน
หวังว่าลมจะพัดพาเธอทั้งสองเข้ามาในชีวิต
ฉันจะได้อ่าน จะได้เรียนรู้ และจะกลับมาเล่าให้เพื่อนของฉันฟัง
ฉันจะได้อ่าน จะได้เรียนรู้ และจะกลับมาเล่าให้เพื่อนของฉันฟัง
ปล2. ปกติก็ชอบงานเขียนของ มิฆาเอล เอนเด้(Michael Ende)
รู้สึกว่างานของนักเขียนเยอรมันนี่มันลุ่มลึกดีแท้
รู้สึกว่างานของนักเขียนเยอรมันนี่มันลุ่มลึกดีแท้
Credit Image: http://www.penguin.com.au/jpg-large/9780141189574.jpg