เพราะฉันเรียน ฉันถึงรู้ว่า..

ผมชอบนะที่สมัยประถมผมได้เรียนทุกวิชาอย่างเท่าเทียม
ภาษา ศิลป์ คณิต ดนตรี วิทย์ สังคม ศาสนา
แต่พอโตขึ้นมัทธยมถึงมหาวิทยาลัยกลับต้องเลือก
ประมาณว่าเธอไม่เก่งเลข เธอก็คือ “โง่” ไปเลยอะไรทำนองนั้น
ยิ่งวิชาศาสนาและสังคมศาสน์นี่แทบจะไม่มีสอนให้กับนักศึกษาในวิทย์หรือวิศวะระดับมหาวิทยาลัยเลย
พวกศิลปะ กับดนตรีนี่เอาไปเป็นงานอดิเรกไปเลย —
แต่ถามหน่อยเถอะว่า จะเอาเวลาไหนเป็นงานอดิเรกครับพี่น้อง
แค่เรียนก็วันละ 10 ชั่วโมงไปแล้ว ต้องนอนอีก 8 ชั่วโมง
บางคนต้องเรียนพิเศษเพิ่มอีกวันละ 3 ชั่วโมง อีก 3 ชั่วโมงก็เก็บไว้กินข้าวสามมื้อนั่นแหละ
ตอนที่เรียนผมยังคิดอยู่เสมอว่าเรียนจบถ้ามีแค่สูตรกับเลขในหัวนี่
..มันจะอยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ได้อย่างไร
ขอบคุณสวรรค์ที่ถีบผมออกจากมหาวิทยาลัยเสียได้.. เพราะผมรู้สึกเสมอมาว่ายิ่งเรียนผมยิ่งโง่
ผมจึงไม่แปลกใจนะที่ทุกวันนี้บนท้องถนนที่เราขับรถกันอยู่
แค่ขับรถแซงกันมันก็จะยิงกันตายแล้ว เราจะขับรถจอดในช่องจอด คนมาทีหลังเสียบเข้าซะอย่างนั้น
คนทำงานที่มีรถขับนี่อย่างน้อยก็ต้องมีการศึกษาสูงระดับหนึ่ง แต่จากพฤติกรรมที่ผมเคยเห็น
ผมรู้เลยว่าพวกนี้เรียนมาสูง มีความรู้ แต่ด้อยปัญญาอย่างเห็นได้ชัด
ผมไม่โทษคนพวกนี้นะแต่ผมว่าระบบที่หล่อหลอมเรามาตั้งแต่ยังเด็กต่างหาก
ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้.. ทำให้เราต้องแข่งขัน เพื่อเอาอีโก้ของตัวเองไว้เหนือคนอื่นๆ

นั่นเพราะว่าครึ่งชีวิตของเราที่อยู่ในรั้วสถาบันการศึกษานี่
เขาไม่ได้สอนให้เรารู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ คุณค่าที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่อกัน
แต่ผมขอบคุณและระลึกถึงคุณครูสมัยประถมอยู่เสมอ
เพราะท่านมักสอนผมว่า “ภาษานี่อย่าทิ้งนะมันสำคัญ”
อีกท่านก็บอกว่า “ศิลปะนี่มันจำเป็นกับชีวิตเรานะ”
“เลขนี่จำเป็นนะเราได้ใช้ในชีวิตประจำวัน” อีกท่านก็บอกไว้
“ศาสนานี่อยู่กับเราจนวินาทีสุดท้าย ก่อนเขาจะเผาทิ้งนี่พระยังมาสวดให้เลย”
คุณครูประถมสอนให้ผมรู้อย่างนี้
แต่มัทธยมปลายเท่านั้นล่ะ ผมเข้ามาเรียนสายวิทย์-คณิต
ลองวาดรูปในวิชาคณิตหรือฟิสิกส์ดูซิครับ ถ้าไม่โดนอาจารย์ตะเพิดออกนอกห้อง
ประมาณว่าว่า “ถ้าไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องมาเรียนในวิชาฉัน!!!”
โอ้..ผมได้ยินครั้งแรกนี่วัยเด็กอันแสนหวานนี่จบลงตั้งแต่วันนั้นเลย—-

ส่วนตัวนี่ผมชอบวิชาภาษาอังกฤษมากเพราะประทับใจคุณครูจากสมัยประถม
แต่.. ยังมีอีกเรื่องสมัยมอปลายนั่นแหละ
อาจารย์คนหนึ่งสอนภาษาอังกฤษให้ห้อง top
ตอนนั้นภาษาอังกฤษนี่ผมเก่งสุดในห้องเลยนะแต่ผมอยู่ห้องห้าก็ไกลจากคำว่า top พอสมควร
อาจารย์ภาษาอังกฤษของห้องผมไม่มา อาจารย์ห้อง top มาสอนแทนบอกว่าวันนี้จะสอนเรื่อง GERUND
ท่านก็ถามนักเรียนในห้องว่าใครรู้จักใหมว่าคืออะไร
เราคงเรียนไม่ถึงหรืออย่างไรไม่ทราบไม่มีใครตอบออกไปเลย เพราะผมก็พึ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
อาจารย์ก็มองด้วยหางตาและสะแหยะยิ้มถามว่าใครเก่ง eng ที่สุดในห้องนี้ ตอบมาเดี๋ยวนี้
ผมค่อยๆลุกขึ้นตอบออกไปว่า “ผมไม่ทราบจริงๆครับ”
และเกิดอะไรขึ้นรู้ใหมครับ ถ้าผมอธิบายแบบสโลว์โมชั่นก็คือ
อาจารย์ท่านนี้ เอามือป้องปาก ยิ้มแบบสะใจ เหมือนท่านชนะสงครามที่ต่อสู้มาทั้งชีวิต
และหัวเราะพอใจอย่างเสียงดังพร้อมกับพูดว่า “นี่นะเหรอคนเก่งที่สุดในห้องนี้ แค่คำว่า gerund ก็ยังไม่รู้จัก”
ภาษาอังกฤษที่ผมรักสลายลงในวันนั้นเลย–
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งคงทนไม่ไหวเธอตอบออกมาว่า “มัน คือ คำ นาม เติม ไอ เอ็น จี ค่ะ อาจารย์”
เรื่องที่ขำอยู่จึงจบลง
ผมก็อยากตอบไปนะว่าถ้าผมรู้แล้วผมจะมาเรียนอีกทำไม
เพราะถ้าผมรู้ ผมจะให้อาจารย์มาสอนผมทำไมมิทราบ
แต่ครอบครัวผมสอนมาดี ผมก็เลยไม่ได้ตอบโต้ออกไป ก็เลยนั่งคอตกอยู่ที่มุมห้อง
..พยายามรู้สึกว่าตัวเองโง่อย่างที่อาจารย์คนนั้นอยากให้ผมเป็น

เข้ามหาวิทยาลัยนี่ยิ่งเป็นหายนะในการเรียนของผมเลย
เพราะอาจารย์หลายๆท่านจะไม่สนใจเราเลยตลอดทั้งคาบเรียน
ถ้าเราไม่เข้าใจที่ๆท่านกำลังพูดอยู่บนกระดาน
ประมาณว่าเราอยู่ในอีกประเทศหนึ่ง หรือโลกหนึ่งที่เขากำลังพูดภาษาที่เราไม่เข้าใจ
สิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในชั้นเรียนจึงไม่เคยเข้าหัวผมเลย
ทำให้การเรียนผมย่ำแย่มาก.. แต่ผมรู้ตัวผมดีว่าผมจะจบออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร
โดยที่ไม่ให้เงินของพ่อกับแม่ต้องเสียเปล่าห้องสมุดจึงเป็นปราการหลักของผม
กิจกรรมต่างๆ เหมือนใบเปิดทางให้รู้จักกับโลกอื่นๆที่เขาอาจคุยกันในภาษาที่ผมรู้จัก
งานสัมนาปราศัยต่างๆผมเข้าฟังหมด.. ผมทำแทบทุกอย่างยกเว้นเรียนในชั้น
เพราะทำให้ผมมองเห็นรอยรั่วของระบบการศึกษาที่เขาพยายามจะตีกรอบขังผมไว้เหมือนคนอื่นๆ
ทำให้ผมมองออกไปเห็นแสงของอนาคตที่รออยู่
..แต่สำหรับวิชาในภาควิศวะของผมเอง ยังคงดำมืดอยู่ตลอด 4 ปี
แต่ท่ามกลางความมืดก็ยังคงมีแสงสว่าง
อาจารย์ท่านหนึ่งสอนการใช้ชีวิตในชั้นเรียน
ท่านสอนให้เกิดปัญญาจริงๆ เพราะในคาบเรียนท่านสอนในภาษาที่ผมเข้าใจ
ทำให้ผมนึกถึงความสนุก และความสุขกับการเรียนเหมือนสมัยประถม
เหมือนกับคุณครูทุกคนที่เคยสอนผมเมื่อยังเด็ก
ท่านคือครูที่สอนให้เรามองสิ่งต่างๆอยู่นอกกรอบ เพื่อจะได้เข้าใจกรอบที่เราอยู่มากขึ้น
ผมเคารพท่านเสมอมา..
ขณะที่อาจารย์ท่านอื่นพยายามเอาชนะลูกศิษย์ของตัวเองด้วยตำราที่ตัวเองเรียนมาก่อน
แต่คุณครูท่านนี้สอนประสบการณ์ที่เราอาจจะเจอในอนาคต
ซึ่งเท่ากับเตรียมตัวให้เรารู้จักคำว่า “โลก” ที่เรายังไม่เคยพบก่อนจะออกมาเจอของจริง
นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ และผมก็ได้รับมาในเวลาที่เหมาะสม

ผมทำงานมาสี่ปี ผมไม่ได้ใช้ความรู้ในตำราที่เรียนมาเลย
โชคดีเหลือเกินที่ผมไม่ได้แบกมันไว้ ให้หนักเหมือนคนอื่นๆ
เพราะผมเชื่ออย่างหนึ่งนะว่า ประสบการณ์ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทุกอย่าง
แต่ประสบการณ์กว่าจะได้มานั้น เราต้องก้าวข้ามความปัญหาให้ได้
แล้วเมื่อก้าวผ่านปัญหามาได้ ปัญญา ก็จะเกิดขึ้น
ผมไปอ่านเจอประโยคหนึ่งในเว็บไซต์ผมจำชื่อคนเขียนไม่ได้
แต่ผมตั้งใจจะนำมาปิดท้ายบทความผม
ตั้งแต่พวกคุณเรียนมามีใครสอนแบบนี้บ้างหรือเปล่า..
ท่านกล่าวไว้ว่า “ความรู้อาจได้จากการอ่านตำรา แต่ปัญญาจะต้องมาจากการอ่านตนเอง”

ปล.และแล้วก็ได้เขียนเรื่องที่อยากเขียนมานานซะที
นั่งเขียนตั้งแต่ สิบโมงครึ่งตอนนี้บ่ายสองครึ่งพอดี
ข้าวเที่ยงวันนี้คงจะมีรสชาติขึ้นเยอะ
เลย

อ่านจบแล้ว ส่งข้อความมาทักทายกันได้ที่นี่ครับ

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.