มันอาจจะจริงอย่างเขาว่าก็ได้
“ประวัติศาสตร์ มักซ้ำรอยเสมอ”
โดยไม่มีเค้าลางหรือเงื่อนงำใดๆบอกล่วงหน้า
และวันนี้ทุกอย่างก็ลงตัว
ผมจะได้กลับบ้านวันแม่
ถึงจะเป็นวันหยุดแค่ 2 วัน
แถมต้องซื้อวันหยุดเพิ่มอีกหนึ่งวัน
แต่ผมก็พร้อมแล้วที่จะกลับบ้าน
ออกจากห้องสองทุ่มสิบนั่งรถเมล์ถึงหมอชิตสามทุ่มครึ่ง
เฮ้อ ในที่สุดก็มาถึง..
แต่เอ๊ะ รถออกสามทุ่มครึ่งนี่นา!!!!!
ผมเริ่มวิ่ง ก่อนจะไปหยุดหอบแฮ่กๆ ที่ชานชลาหมายเลข 45
และรถทัวร์ก็จอดอยู่ตรงนั้น กรุงเทพฯ-อุดรธานี
ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ พลันก็ได้ยินเสียงตะโกน
“อุดรครับอุดร รอบสี่ทุ่มรถจะออกแล้วนะครับ”
อ้าวเฮ้ย สามทุ่มครึ่งไปไหนเสียแล้ว ..ว่ะ!
ผมยื่นตั๋วให้กระเป๋ารถทัวร์
“รถสามทุ่มครึ่งยังไม่มาครับ ออกไปรอตรงนู้นเลย”
เขาชี้ออกไปยังลานจอดรถที่มีคนยืนรออยู่เต็มไปหมด
เพื่อจะบอกว่ารถไม่เข้าชานชลา
ผมกำลังจะเดินออกไปรอรถ
แล้วฝนก็เทลงมา..
ผมยืนมอง..
คนกลุ่มใหญ่ที่เคยยืนรอด้านนอกกรูกันเข้ามา
เบียดเสียดกันอยู่ในชานชลา
ท่ามกลางอากาศที่สุดแสนจะร้อนอบอ้าว
ผมเบียดเสียดฝูงชนค่อยๆยื่นจมูกออกมาเพื่อหายใจ (จบภาคที่ 1)
….
ห้าทุ่มตรงรถกรุงเทพ-อุดรเที่ยวสามทุ่มครึ่ง
..ก็เริ่มเคลื่อนออกจากหมอชิตท่ามกลางสายฝน
รถขยับ.. โยก.. เลี้ยว.. เบียด
ผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมเวียนหัวจึงหลับไป
ปกติ 8 ชั่วโมงก็จะถึงบ้านแล้ว
ตีห้าครึ่งแม่โทรมาถามว่ามาถึงหรือยัง
ผมงัวเงียมองออกไปนอกหน้าต่าง
เจอป้ายบอกทาง ขอนแก่น 170 กม.
งั้นจากที่นี่กว่าจะถึงบ้านก็ 300 กว่ากิโล
ก็เลยบอกแม่ไปว่า “ประมาณเก้าโมงกว่าๆคงถึงบ้านครับ”
จากนั้นก็วางสายไป ยังไม่ถึงสิบวินาที ก็ได้ยินเสียง
เอี๊ยดด.. และ โครม..!
รถทัวร์ที่ผมนั่งเหมือนชนท้ายรถคันข้างหน้าอย่างจัง
แต่น่าจะไม่มีอะไรเสียหายรุนแรงเท่าไหร่
เจ๊คนหนึ่งคงจะตกใจมากถึงกับวิ่งลงจากรถ
คนขับเปิดประตูลงไปคุยกัน
ไม่นานเจ๊คนนั้นก็กลับขึ้นมา
ทะเบียนรถเลข 12 และ 45 งวดนี้ออกตัวเดิมแน่ๆ
อ้าว หักมุมซะงั้น
เอาละท่ามกลางปัญหาก็ยังมีรอยยิ้มอยู่
อยากให้เคลียร์กันได้ไวๆ แต่ตอนนี้ขอนอนก่อนละ
หลับไปไม่นานผมก็ฝัน..
ในฝันเหมือนยืนอยู่ในห้องวิจัย
กำลังคุยกับฝรั่งสามคนเรื่องงานวิจัยซักอย่าง
ผมบอกไปว่าผมกำลัง observe (สังเกตุ) งานนี้อยู่
แต่ฝรั่งไม่เข้าใจ..
ผมเปิดดิกชั่นนารี่หาคำนี้เพื่ออธิบาย
ก็ไม่มี แล้วพวกนั้นก็คิดว่าผมเป็นสายลับ
ก็เลยจับผมขึ้นรถ..แล้วขับปาดหน้ารถคันอื่นๆเพื่อขึ้นทางด่วน
แล้วตำรวจก็เปิดไซเรนวิ่งตามมาติดๆ
พวกนั้นเลยตะโกนขึ้นว่า “มันเรียกตำรวจ”
ผมสะดุ้งตื่นก็ได้ยินเสียงกระเป๋ารถทัวร์ตะโกนว่า
“คนขับคันนั้นมันเรียกตำรวจ”
“มันรู้ว่าตัวเองผิดที่ขับตัดหน้ารถเรา เลยจะใช้เส้น”
“ประกันมาเคลียร์แล้วแผลแค่นิดเดียว แต่มันไม่ยอม”
“เห็นบอกว่าต้องรอผู้กำกับถึงเก้าโมง”
หัวใจผมสั่นตั้งแต่สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย
แต่ตอนนี้ระทึกใจกับการรอไปเรียบร้อย
เพื่อเป็นการฆ่าเวลาผมจึงหยิบหนังสือ
ชุด ธุลีปริศนา เล่ม 2 ของ Phillip Pullman
ซึ่งเหลือตั้ง 170 หน้ามาอ่าน
เวลาผ่านไปถึงแปดโมงครึ่ง
คนขับรถยอมควักกระเป๋าจ่าย เพื่อรีบไปส่งผู้โดยสาร
ผมถอนใจเพราะมารู้ทีหลังว่า..
คนขับรถทัวร์กับกระเป๋ารถ คือแม่กับลูกชาย
ก่อนหน้านี้ขับรถเมล์อยู่กรุงเทพฯ
แต่ลูกชายมีเมีย และเมียพึ่งคลอดลูก
เขาจึงมาขับรถทัวร์เพื่อให้ใด้กลับมาเจอเมียและลูกทุกวัน
แต่วันนี้อารมณ์ของครอบครัวนี้และผู้โดยสารเกือบสามสิบชีวิต
ต้องขุ่นมัวเพียงเพราะความประมาทและเห็นแก่ตัวของคนเพียงคนเดียว
โลกนี้มันต้องมีคนเสียสละ..
และคนที่รู้จักเสียสละอย่างแท้จริงคงมีเพียงคนที่ไม่มีอะไรต้องเสีย
เหมือนแม่ลูกคู่นี้.. ที่อยากรีบไปดูหน้าลูกหลาน
เหมือนผมที่เสียสละรายได้ 1 วันที่ผมควรได้รับ ให้กับบริษัท
เพื่อให้ได้กลับไปกอดแม่แค่วันสองวัน
บางคนมองเพียงว่าเวลาทุกๆคนในโลกล้วนมีเท่ากัน
แต่เสรีภาพที่คนๆหนึ่งพึงได้รับเมื่อเทียบกับอีกคนช่างต่างกัน
…
บ่ายสองโมงผมก้าวลงจากรถ เจอแม่ยืนอยู่และส่งยิ้มมา
ปัญหาทุกอย่างก็หายไปกับสายลมเย็นอันชุ่มฉ่ำของฤดูฝน
ช่างเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่แสนสุข
แต่ก็ช่างแสนสั้น..
เหมือนกับความสุขของกอลลั่ม(ภาพด้านบน)
เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้สัมผัสแหวน
ก่อนจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงปล่องภูเขาไฟ
แต่เท่านั้นเขาก็ดูมีความสุข …เหลือเกิน
เหมือนความสุขช่วงสั้นๆ ของผม ซึ่งในที่สุดก็ถูกแรงดึงดูด
ดึงกลับมาที่กรุงเทพอีกครั้ง– กลับมานั่งทำงานในที่ๆคุ้นเคย
ผมเข้าใจว่างานคือส่วนหนึ่งของชีวิต
แต่ครอบครัวยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของชีวิตผมเสมอ
และจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป
ปล.ที่บอกว่าประวัติศาสตร์ซำรอยคือนั่งรถทัวร์เกิน 15 ชั่วโมง
ปล.2 และวันที่ 16 นี้บางประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย